วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

พลังของอัญมณี,แร่ธาตุและหิน จริงหรือหลอก

วัตถุธาตุที่มีชีวิต-การสร้างวัตถุธาตุที่มีชีวิต

ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ถึงพลังธรรมชาติบำบัดจากอัญมณี และหินบำบัด ว่ามันจริงหรือหลอก แม้ใน
บทวิจารย์ในต่างประเทศ ก็ยังแบ่งความคิดออกเป็นสองพวก เช่นเดียวกันกับ แนวความเชื่อและหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ หรืออาจจะพูดได้ว่ามันเป็นคนละขั้วกัน ระหว่าง ศาสนา ความเชื่อ กับ วิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ ซึ่งเป็นความขัดแย้งกันของสองขั้วระบบความรู้และความคิดของมนุษยชาติ มาแต่โบราณ ยังหาข้อยุติ หรือจุดเชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่ได้ นับวันก็ดูเหมือนจะห่างไกลกันออกไปเรื่อยๆ และอาจไม่มีวันที่จะบรรจบกันได้เลย ก็เป็นได้

อ้างอิงจาก : https://sciencebasedlife.wordpress.com/2011/09/05/crystal-healing-magic-cures-or-just-rocks/

ในทัศนะของผู้เขียน ขอเทียบเคียงเรื่องพลังงานตามที่รับรู้มาและจากประสบการณ์จริง ในพลังอันเร้นลับ ที่แม้วิทยาศาสตร์ ยังมิได้สนับสนุนด้วยหลักวิชาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดออกมาปฏิเสธโดยสิ้นเชิงกับทฤษฎีหรือแนวคิด เรื่องพลังงานจากวัตถุธาตุต่างๆ บนโลกนี้ เช่น อัญมณี, แร่ธาตุและหิน ตามธรรมชาติ ที่นำมาใช้ประโยชน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ผู้เขียนจะถือวิสาสะ ที่จะพูดถึงพลังหรือประโยชน์ทางธรรมชาติ ที่มนุษย์สัมผัสรับรู้ได้เอง(มาแต่โบราณสืบเนื่องเป็นพันปี) แต่อาจจะลืมนึกถึง หรือลืมที่จะพูดถึง พร้อมๆ ไปกับความรู้ที่ได้จากวิทยาศาสตร์ (ที่ค้นพบและพูดกันในภายหลังไม่กี่ร้อยปี) ควบคู่กันไป

บทความคัดลอกจาก : 
http://board.palungjit.org/f2/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-102535.html?langid=2วัตถุธาตุที่มีชีวิต-การสร้างวัตถุธาตุที่มีชีวิต



ปรัชญาสมัยพระเวทเมื่อราว 2411 ปีก่อนพุทธกาล ซึ่งเรียกว่า ฤาษี หรือ ดาบส ผู้มุ่งแสวงหาสัจธรรมชองชีวิต และธรรมชาติ อยู่ในแถบภูเขาหิมาลัยคล้ายกับนักวิทยาศาสตร์ ในสมัยปัจจุบัน โดยยึดถือองค์ความรู้จากปรากฎการณ์ธรรมชาติ มาพิจารณาใคร่ครวญ ตามหลักแห่งเหตุผล และตรวจสอบจนกระทั่งค้นพบความจริงเกี่ยวกับ รากฐานการกำเนิดสรรพสิ่งทั้งหลายในสากลจักรวาล โดยกล่าวสรุปว่า


    “ไฟแห่งสวรรค์ในดวงอาทิตย์ ไฟแห่งโลกในกลางใจโลก ไฟแห่งตัวตนในใจของคน สามภพสามโลกล้วนต่อเนื่องเชื่อมโยงกันด้วยไฟ จากเบื้องบนลงมาสู่โลกเพื่อสร้างโลกและชีวิต แล้วลอยกลับไปสู่ที่มาตลอดกาล ไฟจึงเป็นพลังงานที่ไม่มีตัวตนอุปมาดั่ง กงล้อแห่งธรรม เป็นผู้กำเนิดจักรวาล ธรรมชาติ ชีวิต และความรู้สู่ความจริงแท้ อันเป็นสัญลักษณ์ของความหมายเช่นเดียวกับ กาลจักร”
ภาพวาดโดยศิลปิน Alex Grey

........
ด้วยเหตุนี้หลักอภิปรัชญาอินเดียทุกสำนัก จึงยอมรับว่า ธรรมชาติ และชีวิต ของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกเกิดมาจากการรวมตัวของ ปรมาณูธาตุ หรืออะตอม ของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศธาตุ เป็นรูปกายวัตถุเรียกว่า “ประกิต” หรือ “กายหยาบ” อันเป็นวัตถุธาตุที่ไม่มีชีวิตอย่างหนึ่ง

       ส่วนวัตถุธาตุชนิดพิเศษอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีอยู่เฉพาะในโลกของเราเท่านั้น คือ วัตถุธาตุที่มีชีวิต อันประกอบด้วย สัตว์และพืช นักอภิปรัชญาอินเดียได้แบ่งแยกย่อย สัตว์โลก ออกเป็น 2 ชนิด คือสัตว์โลกที่มีรูปกายวัตถุเจริญเติบโตในแนวตั้งฉากกับพื้นผิวโลก มีสติปัญญาความคิด มีเหตุผลมีความจำสำนึกแตกต่างกับสัตว์โลกชนิดอื่น เพราะในรูปกายวัตถุเป็นที่สถิตย์ของ”วิญญาณธาตุ” เรียกสัตว์โลกชนิดนี้ว่า มนุษย์ ดังนั้นคำว่า มนุษย์ จึงมีความหมายว่าสัตว์โลกที่รูปกายเจริญเติบโตในแนวตั้งฉากกับพื้นผิวโลกเท่านั้น

       สัตว์โลกชนิดอื่นที่รูปกายวัตถุเจริญเติบโตในแนวราบขนานไปกับพื้นผิวโลก ดำรงชีวิตอยู่โดยอาศัยแต่เพียงวิญญาณธาตุประเภท “สัญชาตญาณ” รวมเรียกว่า สัตว์เดรัจฉาน

.
      ชาวอินเดียเป็นชนเผ่ามหัศจรรย์ ที่มีอัจฉริยภาพทรงภูมิปัญญา อันสูงส่งไม่น้อยกว่าชาติใดในโลก ได้พากเพียรค้นหาความรู้ทาง จักรวาลวิทยา จนสามารถคิดคำนวณเส้นทางโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้า ได้อย่างแม่นยำดังปรากฎอยู่ใน คัมภีร์สุริยาตร ซึ่งนักโหราศาสตร์ยังคงใช้คิดคำนวณการโคจรของดาวเคราะห์มาจนถึงปัจจุบัน ส่วนความพยายามในการค้นหาความจริงแท้ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังปรากฎการณ์ธรรมชาติ และความลี้ลับชองวิชาโหราศาสตร์ คือ สัจธรรมแห่งจิตวิญญาณ


 บรรดาฤาษีชาวอินเดียเชื่อว่า การบำเพ็ญสมาธิภาวนา อย่างสันโดษอยู่ในป่าที่สงบเงียบ เพื่อเข้าถึงไฟที่อยู่ภายในตน "ระงับไฟแห่งความปรารถนา ความกลัว ความโกรธ " จนจิตใจสงบนิ่งบรรลุญาณสมาธิ สามารถมองเห็นสิ่งทั้งหลายได้อย่างล้ำลึก

จึงเชื่อว่า จิตวิญญาณ ในรูปกายวัตถุของคนเราเป็นอำนาจยิ่งใหญ่ของจักรวาล จึงให้คำนิยามรูปลักษณ์ที่เป็นตัวแทนของวิญญาณธาตุ ว่า “ปุรุษา” หรือ “กายทิพย์” ที่อยู่ภายในรูปกายของวัตถุธาตุที่มีชีวิต ซึ่งปรากฎรายละเอียดอยู่ในคำสอนของปรัชญาอินเดียทุกสำนัก





แต่อาจแตกต่างกันไปในเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับพระเป็นเจ้าสร้างโลกและสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก ที่เรียกว่า ระบบเทวนิยม กับความเชื่อว่า จักรวาล ชีวิต และสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกเกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาติ ที่เรียกว่า ระบบอเทวนิยม

         ระบบความเชื่อในเรื่องพระเป็นเจ้าทรงสร้างโลกและสรพพสิ่งทั้งหลายในโลก มีความเห็นว่า พระผู้เป็นเจ้า หรือ พรหมมัน หรือ ปรมาตมัน หรือองค์พรหม เป็นสิ่งสมบูรณ์ถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติและคุณวิเศษยิ่งใหญ่เป็น อนันตะ ไม่อาจพรรณาได้ ไม่อาจกำหนดได้








ไม่อาจหาขอบเขตได้ เป็นสภาวะบริสุทธิ์อยู่เหนือสิ่งทั้งหลาย แต่เป็นรากฐานบ่อเกิดของสิ่งทั้งหลายและปรากฎการณ์ในโลก เรียกว่า 
“พรหมลิขิต” วัฒนธรรมอินเดียดั้งเดิม










จึงมีข้อห้ามมิให้สร้างรูปเคารพของ พระเป็นเจ้าขึ้นกราบไหว้บูชาคงสร้างสัญลักษณ์ แห่งองค์ความรู้ เช่น รูปกาลจักร รูปสวัสดิกะ หรือ ศิวลึงค์ ประดิษฐานไว้ตามเทวาลัยทั้งหลาย

            จากบทความข้างต้น จะเห็นชัดถึงแนวความเชื่อ ทางศาสนาในแต่ละศาสนา ไม่ต่างกันมากนักในระบบเทวะนิยม หรือศรัทธาจริต ส่วนในระบบความคิดสมัยใหม่ เช่น วิทยาศาสตร์ และปัญญาจริต นั้น ก็ยังแฝงไว้ด้วยอิทธิพลของระบบความคิดแบบเทวะนิยม แต่พัฒนาการมาเป็นการพิสูจน์ได้ด้วยเครื่องมือ หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้คำเรียกเสียใหม่ว่า "พลังงาน"

จึงนับได้ว่าได้มีการยอมรับหรือผนึกรวมเอาศาสตร์แขนงความเชื่อรวมเข้ากับหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้มาระดับหนึ่งจนถึงปัจจุบัน


              ในการพิสูจน์เรื่องราวพลัง(Energy)
ตามธรรมชาติ เกี่ยวกับ อัญมณี แร่ธาตุศักดิ์สิทธิ์ และหินบำบัด ที่มีวิญญาณ(พลัง)ครอง ให้ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ นั้น อาจต้องใช้เวลายาวนาน และใช้หลายๆ ทฤษฎี หลายกลุ่ม










         วิธีหนึ่งในการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ก็คือตัวอย่างการทดลอง โดยเฉพาะทดลองกับอาสาสมัคร ทำการเทียบเคียงและวิพากวิจารย์โดยนักวิทยาศาสตร์, นักวิชาการ ต่างๆ จนกว่าจะเป็นที่ยอมรับกับทุกฝ่าย เป็นอีกวิธีที่นิยมใช้พิสูจน์นอกจากใช้เครื่องมืออุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์








กำเนิดปฐมภูมิ ของจักรวาล 
และโลกที่พวกเราอยู่อาศัย ไม่ว่าจะทฤษฎีใด ก็ตาม สุดท้าย มนุษย์ ในทุกแห่งที่อยู่บนโลกนี้ ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของธาตุทั้งหก ทำไมไม่ 4 ทำไมเป็นธาตุทั้งหก หากเรามองแค่วัตถุธาตุที่จับต้องได้ ก็ต้องว่ามีธาตุ 4 แต่หากรวมกับธาตุที่เราจับต้องไม่ได้ ก็ต้องว่ามี 6 ได้แก่

ธาตุดิน รวม หิน แร่ธาตุ และอื่นๆ ที่เป็นมวลสาร
ธาตุน้ำ ของเหลวที่ไหลได้ ไม่คงตัว
ธาตุลม ธาตุเบาที่เคลื่อนไหวและหล่อเลี้ยง
ธาตุไฟ ความร้อน เย็น
อากาศธาตุ หรือความว่าง ฐานที่ตั้งของทุกสิ่งและ

วิญญาณธาตุ  คือ ธาตุรู้ ในปัจจุบันมีความซับซ้อน และพัฒนาองค์ความรู้ไปมาก ถึงขั้นผลิตโลหะ ที่จำรูปแบบโมเลกุลได้ ไม่ว่าจะจับดัดไปในรูปใดๆ ก็คืนกลับสู่สภาพเดิมได้เสมอ เป็นต้น




         ทั้งหกธาตุนี้มีพลังงาน ทำให้เกิดพลังงาน และกักเก็บพลังงานมาอย่างต่อเนื่องไม่อาจจะคาดคะเนได้แน่นอนนับหมื่นหรือแสนล้านปี เก่าแก่กว่าสิ่งมีชีวิตใดๆ บนพื้นโลก 





         ข้อสังเกตุ ที่อาจเกี่ยวข้องหรือไม่ ในมุมมองของผู้เขียน อาจจำแนกเทียบเคียงธาตุทั้งหกกับอัญมณี, ธาตุกายสิทธิ์และหินบำบัด ตามความเชื่อของชาวพุทธและพราหมฮินดู รวมทั้งลัทธิความเชื่อของผู้คนในทุกศาสนาในทุกภูมิภาคบนโลกนี้ คือ

        ความจริงที่ว่า ทุกวัตถุธาตุหรือสสาร โดยเฉพาะ อัญมณี ธาตุกายสิทธิ์ และหินบำบัด ทั้งหลาย ล้วนต้องผ่านการเวลานับหมื่น นับแสน นับล้านๆ ปี  กว่าจะกลายสภาพ หรือกลั่นตัวเองเป็น อัญมณีที่เลอค่า ที่ใครๆ ก็หลงไหลอยากได้ไว้ครอบครองหรือธาตุกายสิทธิ์ที่ทรงอำนาจลึกลับ ในการปกป้องกันภัยและสิ่งอัปมงคลทั้งหลาย หรือหินบำบัด ที่มีสมบัติทางการบำบัดรักษาโรคต่างๆ ได้  เหล่านี้นั้น ไม่เชื่อก็ต้องยอมรับว่า ผู้คนมากมายล้วนเสาะแสวงหาเพื่อที่จะได้ไว้ครอบครองเป็นเจ้าของ เหล่านี้จะได้พลังอำนาจมนต์เสน่ห์มาจากไหน นอกจากปฐมกำเนิดเริ่มต้น ย่อมได้มาจากธรรมชาติผ่านกาลเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านอิทธิพลของธาตุทั้งหกในจักรวาล มานับล้านๆ ปี




               แม้ในจักรวาล ทุกชีวิตหากยังมี นอกจากบนโลก ก็ยังดำรงอยู่โดยพึ่งพาอาศัย อิทธิพล หรืออำนาจ พลังจากธาตุทั้งหกนี้ทั้งสิ้น




ไม่ว่าจะพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์หรือศาสตร์ใดๆ ได้หรือไม่ก็ตาม คงยังต้องยอมรับอิทธิพลมนต์เสน่ห์ของพลังอำนาจ หรือจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ของ อัญมณี ธาตุกายสิทธิ์ และหินบำบัด ชนิดต่างๆ










            ไม่ว่าจะถูกนำมาประดับบนมงกุฏ บนคฑา บนด้ามพระแสงดาบ พระขรรภ์ แห่งองค์พระราชา ราชินี จักรพรรดิ องค์ใดๆ ในทุกมุมของโลก ก็ล้วนแต่ถูกเลือกถูกยกย่องว่าเป็นของดีเลิศ เลอค่า และมีพลังอำนาจควรค่าแก่การครอบครองมีไว้ นั่นเอง

            เหตุใด หลายคนจึงเพิ่งจะมาปฏิเสธ ความมีอยู่ของพลังทางธรรมชาติ ที่มนุษย์สัมผัสกันมาแล้วอย่างยาวนาน ประจักษ์กันมาแล้วในหลากหลายแง่มุมความเชื่อความศรัทธาและความรู้ในเชิงวิทยาศาสตร์ก็ตาม


สุทธิฉันท์....เขียนและเรียบเรียง

29/2/2016

1 ความคิดเห็น: