วันพุธที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2560

แก้วขนเหล็กคืออะไร ความหมายและคุณสมบัติแก้วขนเหล็ก

แก้วขนเหล็กคืออะไร ความหมายและคุณสมบัติแก้วขนเหล็ก


แก้วขนเหล็ก จัดเป็นชนิดแก้วโป่งข่ามชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นของหายากและมีความนิยมสูง เป็นอัญมณีของไทยที่มีความสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ คนโบราณมีความเชื่อกันว่าแก้วขนเหล็กมีสรรพคุณเด่นในการปกป้องคุ้มครองจากสิ่งไม่ดี คุณไสย ภัยอันตรายจากคนหรือสัตว์ ส่งเสริมเรื่องโชคลาภ เงินทอง วาสนา บารมี และความรัก แก้วขนเหล็กเริ่มเป็นที่นิยมและรู้จักอย่างมากเมื่อมีการนำเรื่องราวของแก้วขนเหล็กไปทำเป็นภาพยนต์

แก้วขนเหล็ก ก็คือ รูทิลเลท ควอตซ์ (Rutilated Quartz) เป็นแก้วโป่งข่าม ขนิดที่ภายในแก้วเป็นแร่รูไทล์ ซึ่งเป็นแร่ประเภทโลหะ และจากลักษณะของแร่ชนิดนี้มีลักษณะเส้นๆ คล้ายเส้นผมภายในตัวแก้วโป่งข่าม คนโบราณจึงให้ชื่อว่า “แก้วขนเหล็ก”
รูทิลเลท ควอตซ์ (Rutilated Quartz) นั้น จริงไม่ได้มีเฉพาะสีดำ สามารถพบได้หลายสี และมีชื่อเรียกเฉพาะตามสีของของแร่รูไทล์ที่อยู่ภายในแก้วโป่งข่าม เช่นถ้าแร่รูไทล์มีสีดำ ก็จะเรียกกันว่า “แก้วขนเหล็ก” หรือ “ไหมดำ”
ถ้าแร่รูไทล์มีสีทอง ก็จะเรียกกันว่า “ไหมทอง”

รูทิลเลท ควอตซ์ (Rutilated Quartz) มีอะไรบ้าง

ถ้าแบ่งตามสีของแร่รูไทล์แล้วที่พบ รูทิลเลท ควอตซ์ จะแบ่งได้ดังนี้  
1.       สีดำ Black Rutiliated Quartz หรือ แก้วขนเหล็ก 
2.       สีทอง Gold Rutilated Quartz หรือ ไหมทอง
3.       สีเงิน Silver Rutilated Quartz หรือ ไหมเงิน
4.       สีน้ำตาลอมแดง Pink/ Brown Rutilated Quartz หรือ ไหมนาค
5.       สีเขียว Green Rutilated Quartz หรือ ไหมเขียว

รูทิลเลท ควอตซ์ ที่มีสีดำนั่นก็คือ “แก้วขนเหล็ก” (Black Rutilated Quartz)   ซึ่งแก้วขนเหล็กสามารถแบ่งย่อยได้อีกเป็น ประเภท คือ
แก้วขนเหล็กใส นั่นก็คือ แก้วโป่งข่ามที่เป็นหินควอตซ์ใส เนื้อแก้วใส ภายในเป็นแร่รูไทล์สีดำ
กับอีกประเภทคือ “แก้วขนเหล็กตัน” หรืออีกชื่อว่า “แก้วขนเหล็กน้ำตัน”  คือ แก้วโป่งข่ามที่มีเนื้อแก้วสีขาวขุ่น หรือสีเทาภายในเป็นแร่รูไทล์สีดำ เช่นเดียวกับแก้วขนเหล็กใส แต่แก้วขนเหล็กตัน นั้นลักษณะเส้นขนมักจะหยาบกว่า หนากว่าแก้วขนเหล็ก

คุณสมบัติแก้วขนเหล็ก (Black Rutilated Quartz)

แก้วขนเหล็กเป็นหินที่มีพลังงานพิเศษตามธรรมชาติ มีประสิทธิภาพในการบำบัดทั้งด้านร่างกายและจิตใจ แก้วขนเหล็กจะดูดพลังงานด้านลบออกจากร่างกายและจิตใจ เช่น ความเศร้าหมอง วิตกกังวล เครียด และผู้ที่ปัญหาโรคร้าย โรคภัยไข้เจ็บ ร่างกายจะมีการสะสมพลังงานลบมาก คลื่นพลังของหินจะช่วยชำระล้างพลังด้านลบนี้ออกไป และเพิ่มพลังงานด้านดีให้ร่างกาย

นอกจากนี้คุณสมบัติเด่นอีกด้านของแก้วขนเหล็กคือ เรื่องโชคลาภ 
เงินทอง มีความเชื่อว่ากันว่า แก้วขนเหล็ก ช่วยเรียกทรัพย์ เงินทอง 
มาสู่ผู้ถือครอง อีกคุณสมบัติเด่นอีกด้าน ที่คนโบราณเชื่อถือสืบต่อกัน
มา ว่าแก้วขนเหล็ก ผู้ที่มีไว้ติดตัว จะช่วยปกป้องจากคุณไสย์ มนต์ดำ 
ภัยอันตรายต่างๆทั้งจากคนและสัตว์มีพิศทั้งหลาย 

รูปแก้วขนเหล็ก ที่นำมาทำเป็นสร้อย


รูปแก้วโป่งข่ามไหมทอง (Gold Rutilated Quartz)

รูปแก้วโป่งข่ามไหมเงิน Silver Rutilated Quartz
แก้วขนเหล็กไหมนาค Pink / Brown Rutilated Quartz

แก้วโป่งข่ามไหมเขียว Green Rutilated Quartz

วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

แก้วโป่งข่ามแก้วกาบ คืออะไร ความหมาย และคุณสมบัติแก้วกาบ

แก้วโป่งข่ามแก้วกาบ คืออะไร ความหมาย และคุณสมบัติแก้วกาบ

โป่งข่าม คือ หินธรรมชาติตะกูลควอตซ์ เป็นหินที่มีความใสเหมือนแก้ว ชนิดของโป่งข่ามมีชื่อเรียกแตกต่างๆกัน ตามลักษณะหรือชนิดแร่ภายในแก้วโป่งข่าม
แก้วโป่งข่ามแก้วกาบ มีชื่อนี้ตามลักษณะแร่ภายในแก้วโป่งข่าม ที่มีลักษณะเป็นแผ่นบาง ถ้าเป็นลักษณะสีน้ำตาล หรือสีทอง คนโบราณจึงตั้งชื่อ "แก้วกาบทอง" หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า Golden Included Quartz ถ้าลักษณะแร่ภายในโป่งข่ามแก้วกาบเป็นสีเงิน จะมีชื่อว่า แก้วกาบเงิน Siver included Quartz นั่นเอง


ลักษณะของแก้วกาบ

แก้วโป่งข่าม ชนิดที่เป็นแก้วกาบ สามารถพบได้ ทั้งแก้วกาบทอง แก้วกาบเงิน หรือบางครั้งก็ใสไม่มีสี เหมือนมีแผ่นกระจกซ้อนอยู่ภายในแก้ว หรือมีสีขาวก็ได้ ลักษณะแร่แก้วกาบนั้น บางครั้งก็เป็นแผ่นเล็กๆอยู่ภายในตัวแก้วโป่งข่าม แผ่นแร่แก้วกาบจะพบอยู่บนพื้นแก้วก็มี หรือพบลอยอยู่กลางแก้ว มีชื่อเรียกย่อยลักษณะแก้วโป่งข่ามแก้วกาบชนิดนี้ว่า "แก้วกาบลอย" เป็นลักษณะที่น่าอัศจรรย์และหายาก นอกจากนี้ ยังพบแก้วกาบที่เป็นแผ่นใหญ่ขึ้นเต็มตัวแก้วโป่งข่ามเลยก็มี
และยังมีแก้วกาบที่ผสมลักษณะมากกว่าหนึ่งอย่างเช่น แก้วกาบทองผสมลักษณะแก้วกาบอย่างอื่นเช่นแก้วกาบเงิน แก้วกาบขาว เป็นต้น ซึ่งเป็นแก้วโป่งข่ามที่พบได้ยากมากและมีราคาสูง เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่แปลกสวยงามตามธรรมชาติ เป็นหินที่มีพลังในการบำบัดสูง


คุณสมบัติของแก้วโป่งข่าม แก้วกาบทอง แก้วกาบเงิน

แก้วโป่งข่ามแก้วกาบทอง แก้วกาบเงิน เชื่อกันว่ามีคุณสมบัติเด่นอันเป็นสิริมงคล ตามชื่อ คือ นำพาความโชคดีเรื่อง เงินทอง มาสู่ผู้ถือครอง เป็นสัญลักษณะแห่งความโชคดีด้านความมั่นคงของหน้าที่การงาน การค้าขาย ยศตำแหน่ง

แก้วกาบทอง กาบทองเต็มองค์แก้ว
รูป ลักษณะแก้วโป่งข่ามแก้วกาบ ที่แก้วกาบขึ้นเต็มตัวแก้ว

แก้วกาบ 2 ลักษณะ
รูป ลักษณะแก้วโป่งข่ามแก้วกาบทองผสมแก้วกาบขาว
แก้วกาบทอง ที่เป็นแก้วกาบลอย ลักษณะแร่ลอยอยู่กลางตัวแก้วโป่งข่าม
รูป แก้วโป่งข่ามแก้วกาบทอง แก้วกาบลอย

วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

คริสตัลควอตซ์ คืออะไร โป่งข่ามเขี้ยวหนุมาน

คริสตัลควอตซ์ คืออะไร

คริสตัลควอตซ์ (Crystal Quartz) หรือเคลียร์ คริสตัล (clear crystal)  เป็นหินตระกูลเดียวกับเพชร คนโบราณเรียกหินชนิดนี้ว่า “แก้วโป่งข่าม” ด้วยลักษณะจำเพาะของหินที่ใส ลักษณะผลึกหินตามธรรมชาติที่มีรูปทรงเป็นกอๆ แต่ละอันเป็นแท่งๆคล้ายเขี้ยว หรือ ฟัน นี้เป็นลักษณะตามะธรรมชาติที่ปราศจากการปรับแต่ง คนโบราณจึงจึงให้ชื่อว่า “แก้วหนุมาน” หรือ “เขี้ยวหนุมาน” ซึ่งนิยมนำมาพกติดตัวเป็นวัตถุมงคล เสริมบารมี คริสตัลควอตซ์ชนิดนี้ มีการนำมาเจียระไนเป็นทรงกลม ที่มีชื่อเรียกว่า “หินจุยเจียร” นิยมใช้เพื่อการฝึกสมาธิ ด้วยพลังจากหินจะช่วยชำระล้างพลังงานด้านลบในจิตใจ ช่วยให้เกิดการผ่อนคลายและสนับสนุนให้จิตใจสงบเป็นสมาธิได้ง่าย

คุณสมบัติคริสตัลควอตซ์ คุณสมบัติเขี้ยวหนุมาน

คริสตัลควอตซ์ หรือ หินเขี้ยวหนุมาน เป็นหินที่มีพลังสูง เป็นพลังงานที่ดี สามารถเติมพลังให้แก่สนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้าที่อยู่รอบกายของผู้ที่ถือครองและเพิ่มพลังให้แก่หินชนิดอื่นๆ ปกป้องคุ้มครอง ป้องกันภัยอันตรายต่างๆ ป้องกันคุณไสย สิ่งชั่วร้าย ขจัดปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกจากร่างกายและสถานที่ที่แก่บุคคลที่ถือครองหินอยู่อาศัย ส่งเสริมวาสนาบารมี นำโชคลาภมาสู่ผู้ถือครอง ใช้ร่วมกับการฝึกสมาธิ ช่วยส่งเสริมให้จิตรวมเป็นสมาธิได้ง่าย
รูป หินคริสตัลควอตซ์ หรือ โป่งข่ามแก้วหนุมาน

วิธีล้างหินคริสตัลควอตซ์

ควรล้างหินด้วยธรรมชาติหรือน้ำประปาก็ได้ ล้างได้บ่อยเท่าที่ต้องการ ขณะล้างหินให้สัมผัสและนึกบอกว่าขอล้างพลังงานด้านลบออกให้หมด ถ้ารู้สึกมีความเครียด ความไม่สบายในจิตใจ ให้เปิดเพลงที่มีดนตรีเพื่อการบำบัดสมาธิหรือดนตรีบำบัดเพื่อการผ่อนคลายไปด้วย หรือจะเป็นบทสวดมนต์ บทแผ่เมตตาก็ยิ่งดี คลื่นพลังดีของหินจะกระจายออกมา ทำให้สงบและผ่อนคลายมากขึ้น

หินคริสตัลควอตซ์ เหมาะแก่ใครบ้าง

หินคริสตัลควอตซ์ เหมาะกับคนที่มีหน้าที่การงานเกี่ยวข้องกับผู้คน หรืออาชีพที่มีอำนาจบารมี นักบริหาร อาชีพที่เกี่ยวกับการรักษาความถูกต้อง แต่เสี่ยงต่อภัยอันตรายทั้งจากบุคลหรือสัตว์ เสี่ยงต่อความขัดแย้ง นอกจากนี้ยังเหมาะกับอาชีพที่ต้องเผชิญกับความตึงเครียด หินคริสตัลควอตซ์ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ประกอบอาชีพด้านอสังหาริมทรัพย์ ซื้อขายที่ดิน ซื้อขายที่อยู่อาศัย และยังเหมาะกับนักบวช นักบำบัด และจิตแพทย์ซึ่งเป็นสาขาอาชีพที่ต้องใช้สมาธิอย่างมาก

วิธีใช้หินคริสตัลควอตซ์

หินคริสตัลควอตซ์  เหมาะทำเป็นจี้ห้อยคอ แหวน สร้อยคอ สร้อยข้อมือ หรือเป็นหินก้อนพกติดตัว  หรือถ้าเป็นแบบผลึกหินธรรมชาติ สามารถวางบนโต๊ะเพื่อปรับฮ้วงจุ้ยในที่อยู่อาศัย หรือที่ทำงาน จะช่วยปรับฮ้วงจุ้ยให้ดีขึ้น พลังของหินช่วยเสริมบารมีแก่ผู้ถือครอง และคลื่นพลังของหินยังแผ่กระจายช่วยให้ผู้คนรอบข้างมีความเคารพยำเกรง ไม่กล้าคิดร้าย
สำหรับผู้ที่ต้องการฝึกสมาธิ นิยมใช้หินคริสตัลควอตซ์ ที่เจียระไนเป็นทรงกลม ที่มีชื่อเรียกกันว่า หินจุยเจียร
หินจุยเจียร มีทั้งแบบที่ไม่ใช่หินธรรมชาติ ซึ่งผลิตจากแก้วหล่อ กับแบบหินธรรมชาติ คือ คริสตัลควอตซ์ ลักษณะของจุยเจียรที่กลมใส เหมาะกับการนึกเป็นนิมิตให้ใจรวมเป็นสมาธิ แต่ข้อแตกต่างระหว่างหินจุยเจียร ที่ทำจากแก้วหล่อ กับหินธรรมชาตินั้น คือ หินธรรมชาติ จะพบลักษณะแร่อยู่ภายใน และหินธรรมชาติจะมีพลังในการบำบัดจิตใจ คลื่นพลังของหินจะช่วยส่งเสริมสภาวะจิตใจให้สงบและเป็นสมาธิ
หินมงคลตามวันเกิด หินมงคลตามราศี
หินคริสตัลควอตซ์ หรือ เขี้ยวหนุมาน เหมาะกับคนเกิดได้ทุกวัน ทุกราศี และจะยิ่งเหมาะเป็นพิเศษ ใน
ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ ผู้ที่เกิดวันทื่ 1, 10, 19 และ 28
ผู้ที่เกิดราศีกรกฏ (15 กรกฎา – 15 สิงหา )

รูป เปรียบเทียบระหว่าง หินจุยเจียที่ทำจากแก้วหล่อ กับ หินจุยเจียที่เป็นคริสตัลควอตซ์


วันอังคารที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2560

แก้วโป่งข่ามหมอกมุงเมืองคืออะไร ความหมาย และคุณสมบัติแก้วหมอกมุมเมือง

แก้วโป่งข่ามหมอกมุมเมือง

        โป่งข่ามหมอกมุงเมือง คือ ควอตซ์ที่มีลักษณะสีขาวขุ่น ขาวน้ำนม เปรียบเสมือนกลุ่มหมอกและควัน จึงได้ชื่อว่า หมอกมุงเมือง

         คุณสมบัติของแก้วหมอกมุงเมือง

- มีคุณสมบัติด้านสเน่ห์ เมตตาและความรัก
- ส่งเสริมความชุ่มเย็น ความสงบของจิตใจและอารมณ์ จึงมีคนนำมาใช้ในการฝึกสมาธิ ทำให้จิตใจสงบได้ง่าย

         การนำแก้วหมอกมุงเมืองไปใช้

การส่งเสริมด้านความรัก เมตตา และด้านครอบครัว ให้ถือโป่งข่ามหมอกมุมเมืองไว้ และทำจิตเป็นสมาธินึกถึงตัวแก้วไว้ภายในกลางลำตัว จำลักษณะตัวแก้วให้เห็นปรากฏถึงภายในตัว จนรู้สึกถึงความสว่างนวลขาวของตัวแก้วปรากฏขึ้นและนึกให้พลังนี้แผ่ขยายไปถึงคนในครอบครัว นึกถึงแต่สิ่งดีๆ นึกให้สิ่งดีๆนั้นเกิดขึ้นแก่ตนเองและคนในครอบครัว พลังของหินจะชำระล้างพลังงานด้านลบ และช่วยให้จิตใจชุ่มเย็นและพลังแห่งความชุ่มเย็นจะแผ่ไปถึงบุคคลรอบข้าง

         การดูแลรักษาแก้วหมอกมุงเมือง

หมั่นชำระล้างแก้วด้วยน้ำ หมั่นเปิดเสียงสวดมนต์

โป่งข่ามไหมทองคืออะไร คุณสมบัติไหมทอง และการบำบัดด้วยหินไหมทอง

โป่งข่ามแก้วไหมทอง

โป่งข่ามแก้วไหมทอง คืออะไร

โป่งข่ามแก้วไหมทอง(Golden Rutilated Quartz) คือควอทซ์ใสชนิดหนึ่งที่มีผลึกแร่ที่ีมีลักษณะเป็นเส้นคล้ายเส้นผม เป็นแร่ประเภทแร่รูไทล์ จึงมีชื่อเรียกเฉพาะตามลักษณะหินชื่อว่า "ไหมทอง" ส่วนชาวตะวันตกเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า หินวีนัสแฮร์ (Venus-hair)

โป่งข่าม จัดเป็นคว็อตซ์ที่มีเนื้อแก้วลักษณะใส หรือที่เรียกว่าหรือ ร็อก คริสตัล (Rock crystal ) คนสมัยก่อนเรียกกันว่า "หินโป่งข่าม" "แก้วโป่งข่าม" ควอตส์ใสจะมีลักษณะผลึกแร่ภายในแตกต่างกันตามลักษณะชนิดแร่ จึงมีการแบ่งประเภทโป่งข่ามไปหลากหลายชนิดตามลักษณะภายในและชนิดแร่นั่นเอง ดังนั้น ในกลุ่มRutilated Quartz ก็จะเรียกชื่อแตกต่างกันตามลักษณะสีของแร่รูไทล์นั่นเอง เช่น ไหมทอง ไหมเงิน ไหมนาค และขนเหล็ก


ด้านความเชื่อคุณสมบัติของแก้วไหมทอง

จากลักษณะของไหมทองที่เป็นมงคล จึงเป็นสัญลักษณ์แทนความโชคดีเรื่องการเงิน ความมั่งคั่ง ร่ำรวย มีความเชื่อกันว่าหินไหมทอง จะนำพาเงิน ทรัพย์สิน โชคลาภมาแก่ผู้ที่เป็นเจ้าของ จึงนิยมนำอัญมณีหินไหมทองนี้มาทำเป็นเครื่องประดับติดตัว เช่น กำไลข้อมือหินไหมทอง


พลังการบำบัดของแก้วไหมทอง


หินไหมทอง เป็นหินที่มีพลังงานสูงในด้านการดูดพลังด้านลบออกไปทั้งทางร่างกายและจิตใจ ช่วยบำบัดเกี่ยวกับสภาวะอารมณ์เครียด หดหู่ การขาดความเชื่อมั่นมั่นในตนเอง หินไหมทองมีคุณสมบัติกระตุ้นความสงบและผ่อนคลายทางจิตใจ จึงช่วยสร้างสมดุลที่ดีให้กับร่างกายและสภาพจิตใจ


การบำบัดด้วยหินไหมทอง

วิธีใช้
หินไหมทอง เหมาะกับผู้ที่ปัญหาทางด้านสุขภาพและสภาพจิตใจที่เคร่งเครียด วิตกกังวล หรือหดหู่
ซึ่งในการใช้งาน เนื่องจากหินไหมทองมีพลังด้านการดูดพลังงานลบออกจากร่างกาย จึงควรทำการล้างหินบ่อยๆ เพื่อให้หินไหมทองมีพลังงงานที่บริสุทธิ์ ชำระล้างหินไหมทองโดยการ เปิดเสียงสวดมนต์ หรือดนตรีเพื่อการทำสมาธิและนึกขอให้หินชำระล้างพลังงานด้านลบออกให้หมด จากนั้นนึกถึงแต่สิ่งดีๆให้บังเกิดขึ้น ทั้งความสุขความสำเร็จในสิ่งที่ดีงามเป็นต้น


วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

พลังของอัญมณี,แร่ธาตุและหิน จริงหรือหลอก

วัตถุธาตุที่มีชีวิต-การสร้างวัตถุธาตุที่มีชีวิต

ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ถึงพลังธรรมชาติบำบัดจากอัญมณี และหินบำบัด ว่ามันจริงหรือหลอก แม้ใน
บทวิจารย์ในต่างประเทศ ก็ยังแบ่งความคิดออกเป็นสองพวก เช่นเดียวกันกับ แนวความเชื่อและหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ หรืออาจจะพูดได้ว่ามันเป็นคนละขั้วกัน ระหว่าง ศาสนา ความเชื่อ กับ วิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ ซึ่งเป็นความขัดแย้งกันของสองขั้วระบบความรู้และความคิดของมนุษยชาติ มาแต่โบราณ ยังหาข้อยุติ หรือจุดเชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่ได้ นับวันก็ดูเหมือนจะห่างไกลกันออกไปเรื่อยๆ และอาจไม่มีวันที่จะบรรจบกันได้เลย ก็เป็นได้

อ้างอิงจาก : https://sciencebasedlife.wordpress.com/2011/09/05/crystal-healing-magic-cures-or-just-rocks/

ในทัศนะของผู้เขียน ขอเทียบเคียงเรื่องพลังงานตามที่รับรู้มาและจากประสบการณ์จริง ในพลังอันเร้นลับ ที่แม้วิทยาศาสตร์ ยังมิได้สนับสนุนด้วยหลักวิชาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดออกมาปฏิเสธโดยสิ้นเชิงกับทฤษฎีหรือแนวคิด เรื่องพลังงานจากวัตถุธาตุต่างๆ บนโลกนี้ เช่น อัญมณี, แร่ธาตุและหิน ตามธรรมชาติ ที่นำมาใช้ประโยชน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ผู้เขียนจะถือวิสาสะ ที่จะพูดถึงพลังหรือประโยชน์ทางธรรมชาติ ที่มนุษย์สัมผัสรับรู้ได้เอง(มาแต่โบราณสืบเนื่องเป็นพันปี) แต่อาจจะลืมนึกถึง หรือลืมที่จะพูดถึง พร้อมๆ ไปกับความรู้ที่ได้จากวิทยาศาสตร์ (ที่ค้นพบและพูดกันในภายหลังไม่กี่ร้อยปี) ควบคู่กันไป

บทความคัดลอกจาก : 
http://board.palungjit.org/f2/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-102535.html?langid=2วัตถุธาตุที่มีชีวิต-การสร้างวัตถุธาตุที่มีชีวิต



ปรัชญาสมัยพระเวทเมื่อราว 2411 ปีก่อนพุทธกาล ซึ่งเรียกว่า ฤาษี หรือ ดาบส ผู้มุ่งแสวงหาสัจธรรมชองชีวิต และธรรมชาติ อยู่ในแถบภูเขาหิมาลัยคล้ายกับนักวิทยาศาสตร์ ในสมัยปัจจุบัน โดยยึดถือองค์ความรู้จากปรากฎการณ์ธรรมชาติ มาพิจารณาใคร่ครวญ ตามหลักแห่งเหตุผล และตรวจสอบจนกระทั่งค้นพบความจริงเกี่ยวกับ รากฐานการกำเนิดสรรพสิ่งทั้งหลายในสากลจักรวาล โดยกล่าวสรุปว่า


    “ไฟแห่งสวรรค์ในดวงอาทิตย์ ไฟแห่งโลกในกลางใจโลก ไฟแห่งตัวตนในใจของคน สามภพสามโลกล้วนต่อเนื่องเชื่อมโยงกันด้วยไฟ จากเบื้องบนลงมาสู่โลกเพื่อสร้างโลกและชีวิต แล้วลอยกลับไปสู่ที่มาตลอดกาล ไฟจึงเป็นพลังงานที่ไม่มีตัวตนอุปมาดั่ง กงล้อแห่งธรรม เป็นผู้กำเนิดจักรวาล ธรรมชาติ ชีวิต และความรู้สู่ความจริงแท้ อันเป็นสัญลักษณ์ของความหมายเช่นเดียวกับ กาลจักร”
ภาพวาดโดยศิลปิน Alex Grey

........
ด้วยเหตุนี้หลักอภิปรัชญาอินเดียทุกสำนัก จึงยอมรับว่า ธรรมชาติ และชีวิต ของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกเกิดมาจากการรวมตัวของ ปรมาณูธาตุ หรืออะตอม ของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศธาตุ เป็นรูปกายวัตถุเรียกว่า “ประกิต” หรือ “กายหยาบ” อันเป็นวัตถุธาตุที่ไม่มีชีวิตอย่างหนึ่ง

       ส่วนวัตถุธาตุชนิดพิเศษอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีอยู่เฉพาะในโลกของเราเท่านั้น คือ วัตถุธาตุที่มีชีวิต อันประกอบด้วย สัตว์และพืช นักอภิปรัชญาอินเดียได้แบ่งแยกย่อย สัตว์โลก ออกเป็น 2 ชนิด คือสัตว์โลกที่มีรูปกายวัตถุเจริญเติบโตในแนวตั้งฉากกับพื้นผิวโลก มีสติปัญญาความคิด มีเหตุผลมีความจำสำนึกแตกต่างกับสัตว์โลกชนิดอื่น เพราะในรูปกายวัตถุเป็นที่สถิตย์ของ”วิญญาณธาตุ” เรียกสัตว์โลกชนิดนี้ว่า มนุษย์ ดังนั้นคำว่า มนุษย์ จึงมีความหมายว่าสัตว์โลกที่รูปกายเจริญเติบโตในแนวตั้งฉากกับพื้นผิวโลกเท่านั้น

       สัตว์โลกชนิดอื่นที่รูปกายวัตถุเจริญเติบโตในแนวราบขนานไปกับพื้นผิวโลก ดำรงชีวิตอยู่โดยอาศัยแต่เพียงวิญญาณธาตุประเภท “สัญชาตญาณ” รวมเรียกว่า สัตว์เดรัจฉาน

.
      ชาวอินเดียเป็นชนเผ่ามหัศจรรย์ ที่มีอัจฉริยภาพทรงภูมิปัญญา อันสูงส่งไม่น้อยกว่าชาติใดในโลก ได้พากเพียรค้นหาความรู้ทาง จักรวาลวิทยา จนสามารถคิดคำนวณเส้นทางโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้า ได้อย่างแม่นยำดังปรากฎอยู่ใน คัมภีร์สุริยาตร ซึ่งนักโหราศาสตร์ยังคงใช้คิดคำนวณการโคจรของดาวเคราะห์มาจนถึงปัจจุบัน ส่วนความพยายามในการค้นหาความจริงแท้ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังปรากฎการณ์ธรรมชาติ และความลี้ลับชองวิชาโหราศาสตร์ คือ สัจธรรมแห่งจิตวิญญาณ


 บรรดาฤาษีชาวอินเดียเชื่อว่า การบำเพ็ญสมาธิภาวนา อย่างสันโดษอยู่ในป่าที่สงบเงียบ เพื่อเข้าถึงไฟที่อยู่ภายในตน "ระงับไฟแห่งความปรารถนา ความกลัว ความโกรธ " จนจิตใจสงบนิ่งบรรลุญาณสมาธิ สามารถมองเห็นสิ่งทั้งหลายได้อย่างล้ำลึก

จึงเชื่อว่า จิตวิญญาณ ในรูปกายวัตถุของคนเราเป็นอำนาจยิ่งใหญ่ของจักรวาล จึงให้คำนิยามรูปลักษณ์ที่เป็นตัวแทนของวิญญาณธาตุ ว่า “ปุรุษา” หรือ “กายทิพย์” ที่อยู่ภายในรูปกายของวัตถุธาตุที่มีชีวิต ซึ่งปรากฎรายละเอียดอยู่ในคำสอนของปรัชญาอินเดียทุกสำนัก





แต่อาจแตกต่างกันไปในเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับพระเป็นเจ้าสร้างโลกและสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก ที่เรียกว่า ระบบเทวนิยม กับความเชื่อว่า จักรวาล ชีวิต และสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกเกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาติ ที่เรียกว่า ระบบอเทวนิยม

         ระบบความเชื่อในเรื่องพระเป็นเจ้าทรงสร้างโลกและสรพพสิ่งทั้งหลายในโลก มีความเห็นว่า พระผู้เป็นเจ้า หรือ พรหมมัน หรือ ปรมาตมัน หรือองค์พรหม เป็นสิ่งสมบูรณ์ถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติและคุณวิเศษยิ่งใหญ่เป็น อนันตะ ไม่อาจพรรณาได้ ไม่อาจกำหนดได้








ไม่อาจหาขอบเขตได้ เป็นสภาวะบริสุทธิ์อยู่เหนือสิ่งทั้งหลาย แต่เป็นรากฐานบ่อเกิดของสิ่งทั้งหลายและปรากฎการณ์ในโลก เรียกว่า 
“พรหมลิขิต” วัฒนธรรมอินเดียดั้งเดิม










จึงมีข้อห้ามมิให้สร้างรูปเคารพของ พระเป็นเจ้าขึ้นกราบไหว้บูชาคงสร้างสัญลักษณ์ แห่งองค์ความรู้ เช่น รูปกาลจักร รูปสวัสดิกะ หรือ ศิวลึงค์ ประดิษฐานไว้ตามเทวาลัยทั้งหลาย

            จากบทความข้างต้น จะเห็นชัดถึงแนวความเชื่อ ทางศาสนาในแต่ละศาสนา ไม่ต่างกันมากนักในระบบเทวะนิยม หรือศรัทธาจริต ส่วนในระบบความคิดสมัยใหม่ เช่น วิทยาศาสตร์ และปัญญาจริต นั้น ก็ยังแฝงไว้ด้วยอิทธิพลของระบบความคิดแบบเทวะนิยม แต่พัฒนาการมาเป็นการพิสูจน์ได้ด้วยเครื่องมือ หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้คำเรียกเสียใหม่ว่า "พลังงาน"

จึงนับได้ว่าได้มีการยอมรับหรือผนึกรวมเอาศาสตร์แขนงความเชื่อรวมเข้ากับหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้มาระดับหนึ่งจนถึงปัจจุบัน


              ในการพิสูจน์เรื่องราวพลัง(Energy)
ตามธรรมชาติ เกี่ยวกับ อัญมณี แร่ธาตุศักดิ์สิทธิ์ และหินบำบัด ที่มีวิญญาณ(พลัง)ครอง ให้ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ นั้น อาจต้องใช้เวลายาวนาน และใช้หลายๆ ทฤษฎี หลายกลุ่ม










         วิธีหนึ่งในการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ก็คือตัวอย่างการทดลอง โดยเฉพาะทดลองกับอาสาสมัคร ทำการเทียบเคียงและวิพากวิจารย์โดยนักวิทยาศาสตร์, นักวิชาการ ต่างๆ จนกว่าจะเป็นที่ยอมรับกับทุกฝ่าย เป็นอีกวิธีที่นิยมใช้พิสูจน์นอกจากใช้เครื่องมืออุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์








กำเนิดปฐมภูมิ ของจักรวาล 
และโลกที่พวกเราอยู่อาศัย ไม่ว่าจะทฤษฎีใด ก็ตาม สุดท้าย มนุษย์ ในทุกแห่งที่อยู่บนโลกนี้ ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของธาตุทั้งหก ทำไมไม่ 4 ทำไมเป็นธาตุทั้งหก หากเรามองแค่วัตถุธาตุที่จับต้องได้ ก็ต้องว่ามีธาตุ 4 แต่หากรวมกับธาตุที่เราจับต้องไม่ได้ ก็ต้องว่ามี 6 ได้แก่

ธาตุดิน รวม หิน แร่ธาตุ และอื่นๆ ที่เป็นมวลสาร
ธาตุน้ำ ของเหลวที่ไหลได้ ไม่คงตัว
ธาตุลม ธาตุเบาที่เคลื่อนไหวและหล่อเลี้ยง
ธาตุไฟ ความร้อน เย็น
อากาศธาตุ หรือความว่าง ฐานที่ตั้งของทุกสิ่งและ

วิญญาณธาตุ  คือ ธาตุรู้ ในปัจจุบันมีความซับซ้อน และพัฒนาองค์ความรู้ไปมาก ถึงขั้นผลิตโลหะ ที่จำรูปแบบโมเลกุลได้ ไม่ว่าจะจับดัดไปในรูปใดๆ ก็คืนกลับสู่สภาพเดิมได้เสมอ เป็นต้น




         ทั้งหกธาตุนี้มีพลังงาน ทำให้เกิดพลังงาน และกักเก็บพลังงานมาอย่างต่อเนื่องไม่อาจจะคาดคะเนได้แน่นอนนับหมื่นหรือแสนล้านปี เก่าแก่กว่าสิ่งมีชีวิตใดๆ บนพื้นโลก 





         ข้อสังเกตุ ที่อาจเกี่ยวข้องหรือไม่ ในมุมมองของผู้เขียน อาจจำแนกเทียบเคียงธาตุทั้งหกกับอัญมณี, ธาตุกายสิทธิ์และหินบำบัด ตามความเชื่อของชาวพุทธและพราหมฮินดู รวมทั้งลัทธิความเชื่อของผู้คนในทุกศาสนาในทุกภูมิภาคบนโลกนี้ คือ

        ความจริงที่ว่า ทุกวัตถุธาตุหรือสสาร โดยเฉพาะ อัญมณี ธาตุกายสิทธิ์ และหินบำบัด ทั้งหลาย ล้วนต้องผ่านการเวลานับหมื่น นับแสน นับล้านๆ ปี  กว่าจะกลายสภาพ หรือกลั่นตัวเองเป็น อัญมณีที่เลอค่า ที่ใครๆ ก็หลงไหลอยากได้ไว้ครอบครองหรือธาตุกายสิทธิ์ที่ทรงอำนาจลึกลับ ในการปกป้องกันภัยและสิ่งอัปมงคลทั้งหลาย หรือหินบำบัด ที่มีสมบัติทางการบำบัดรักษาโรคต่างๆ ได้  เหล่านี้นั้น ไม่เชื่อก็ต้องยอมรับว่า ผู้คนมากมายล้วนเสาะแสวงหาเพื่อที่จะได้ไว้ครอบครองเป็นเจ้าของ เหล่านี้จะได้พลังอำนาจมนต์เสน่ห์มาจากไหน นอกจากปฐมกำเนิดเริ่มต้น ย่อมได้มาจากธรรมชาติผ่านกาลเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านอิทธิพลของธาตุทั้งหกในจักรวาล มานับล้านๆ ปี




               แม้ในจักรวาล ทุกชีวิตหากยังมี นอกจากบนโลก ก็ยังดำรงอยู่โดยพึ่งพาอาศัย อิทธิพล หรืออำนาจ พลังจากธาตุทั้งหกนี้ทั้งสิ้น




ไม่ว่าจะพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์หรือศาสตร์ใดๆ ได้หรือไม่ก็ตาม คงยังต้องยอมรับอิทธิพลมนต์เสน่ห์ของพลังอำนาจ หรือจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ของ อัญมณี ธาตุกายสิทธิ์ และหินบำบัด ชนิดต่างๆ










            ไม่ว่าจะถูกนำมาประดับบนมงกุฏ บนคฑา บนด้ามพระแสงดาบ พระขรรภ์ แห่งองค์พระราชา ราชินี จักรพรรดิ องค์ใดๆ ในทุกมุมของโลก ก็ล้วนแต่ถูกเลือกถูกยกย่องว่าเป็นของดีเลิศ เลอค่า และมีพลังอำนาจควรค่าแก่การครอบครองมีไว้ นั่นเอง

            เหตุใด หลายคนจึงเพิ่งจะมาปฏิเสธ ความมีอยู่ของพลังทางธรรมชาติ ที่มนุษย์สัมผัสกันมาแล้วอย่างยาวนาน ประจักษ์กันมาแล้วในหลากหลายแง่มุมความเชื่อความศรัทธาและความรู้ในเชิงวิทยาศาสตร์ก็ตาม


สุทธิฉันท์....เขียนและเรียบเรียง

29/2/2016